สัปดาห์สรุปผลงานกลุ่ม...ตัวแทนโดย อาจารย์สว่างทิตย์ The Note Taker
รายงาน
ศึกษาเทคโนโลยี web 1.0 – web 4.0
นำเสนอโดย
กลุ่มที่ 3
อรัมภบท นับตั้งแต่มีการพัฒนาเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จนถึงวันนี้ อาจนับได้ว่าเป็นเวลากว่า 40 ปี ที่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ถือกำเนิดขึ้น และได้มีการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาสิ่งต่างๆ มากมาย โดย ณ จุดเริ่มต้น ทางกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มทำการพัฒนาเครือข่าย ARPANET ขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายสำนักงาน โครงการวิจัยชั้นสูง โดยมีวัตถุประสงค์หลักของเครือข่ายคือ การทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้
หลังจากนั้นได้มีการคิดค้นโครงการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารขึ้นมา หรือที่เรียกกันว่าเวิร์ลไวด์เว็บ (World Wide Web) โดยใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งรูปแบบการนำเสนอที่เป็น ข้อความเป็นหลัก โดยมีการเชื่อมโยง ระหว่างกัน ทั้งภายใน และภายนอก และไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง ในเวลาต่อมาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตได้มีการจำแนกยุคแห่งพัฒนาการของเวิลด์ ไวด์ เว็บ ไว้เป็นช่วง ๆ โดยใช้คำแทนห้วงเวลา ของพัฒนาการแต่ละยุคของอินเทอร์เน็ตไว้เป็นเวอร์ชัน
Source: Nova Spivak, Radar Networks; John Breslin, DERI; & Mills Davis, Project10X [1]
ได้มีการสรุปแนวทางการพัฒนาและนิยามของ web 1.0-4.0 ไว้ดังนี้
web 1.0 The Web, Connects Information การเชื่อต่อกันระหว่างข้อมูลและการค้นหาบนเนต
web 2.0 The Social Web, Connects People การเชื่อมโยงระหว่างบุคคล และใส่ i กับกำหนดรูปแบบของการเชื่อมต่อเฉพาะตัว และการเชื่อโยงเวปให้เกิดสังคม
web 3.0 The Semantic Web, Connects Knowledge การนำความหมาย เชื่อมต่อกับความรู้ และให้ทำงานในเชิงเพิ่มความเข้าใจในอินเตอร์เนท การใช้งาน และความเพลิดเพลิน
web 4.0 The Ubiquitous Web, Connects Intelligence การเชื่อมเอาความฉลาดผ่านทางเวป จากทั้งบุคคล และเหตุผลโดยใช้การสื่อสารเชื่อมโยงกัน
ในส่วนของลักษณะของแต่ละยุคและเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นในยุคนั้นมีรายละเิีอียดนำเสนอต่อไป
web 1.0 The Web, Connects Information
ตัวอย่างเครื่องมือ
ENTERPRISE PORTALS SEARCH ENGINES
CONTENT PORTALS WEB SITES
PING DATABASE
DESKTOP “PUSH” PUBLISH & SUBSCRIBE
FILE SERVERS P2P FILE SHARING
ในยุคแรกเริ่มของเว็บไซต์ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก มีเพียงกลุ่มคนเพียงส่วนน้อย เท่านั้น ที่ใช้งานเมื่อเทียบกับอัตราส่วนการใช้ งานอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน อาจจะมีสาเหตุมาจาก แหล่งเรียนรู้ที่ยังไม่เปิดกว้าง อุปกรณ์ในการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์และโมเด็มยังมีราคา แพง ผู้ให้บริการอินเตอร์เนตยังมีจำนวนน้อย และค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูง รวมไปถึงความเร็วใน การเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด ทำให้เวบไซต์ในยุคนั้นมีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็น ข้อความและภาพนิ่งเป็นส่วนใหญ่
“Read-Only” เป็นการกล่าวถึงลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของ เวบไซต์กับผู้เข้าชมเวบไซต์ในยุค Web 1.0 เว็บยุคแรกที่ีทำการผลิตเนื้อหาต่างๆ มาจากเจ้าของเว็บไซต์ ผู้ที่ต้องการข้อมูลจะเข้าไปอ่านจากเว็บไซต์ ซึ่งมีลักษณะเป็นการตอบโต้ทางเดียว
ผู้ที่ต้องการข้อมูลจะเข้าไปอ่านจากเวบไซต์หรือทำการค้นหาจาก Search Engine ซึ่งเป็นเครื่องมือ หรือโปรแกรมในการค้นหาเว็บต่างๆเป็นส่วนใหญ่ การติดต่อสื่อสาร ระหว่างผู้อ่านกับเจ้าของ เว็บไซต์ หรือ Webmaster มักเป็นไปในทางเดียว คือ ผู้เสนอเนื้อหาหรือเจ้าของเว็บไซต์ จะเป็นผู้จัดทำ ค้นหา นำเสนอโดยผู้อ่าน หรือผู้ท่องเว็บมีหน้าที่รับข้อมูลสารสนเทศเพียงอย่างเดียว ผู้เข้าชมเวบไซต์ส่วนใหญ่ สามารถทำได้เพียงรับข้อมูลจากเนื้อหาของเวบไซต์แต่ ไม่มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็น หรือมีการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของเวบไซต์กับ ผู้เข้าชมเวบไซต์
ส่วนใหญ่คนเพิ่งจะรู้จักอินเทอร์เน็ตในการใช้งานจึงมีไม่มากนัก อาจมีการรับส่งข่าวสารกันทางอีเมล์ การโต้ตอบแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมต่างๆ หรือเพียงการดาวน์โหลด เพลง ภาพ ต่างๆ จากเว็บไซต์ที่ ให้บริการ และการติดต่อที่สื่อสารที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าในการพัฒนาต่อมาจะมีการนำกระดานข่าว (webboard) มาใช้เป็นแหล่งที่ให้ผู้เข้าชมเวบไซต์สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารกันได้ แต่กระดานข่าวยังไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อรองรับการเข้า ชมจากผู้ชมเวบไซต์คนอื่น รวมไปถึงไม่มีการสนับสนุนหรือตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลสำหรับผู้เข้าชมเวบไซ ต์ ซึ่งข้อจำกัดต่างๆส่งผลให้มีการพัฒนาเวบไซต์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้เข้า ชมมากยิ่งขึ้นอันเป็นที่มาของยุค Web 2.0
ตัวอย่างของการพัฒนาช่วง web 1.0
web 2.0 The Social Web
ตัวอย่างเครื่องมือ
MASH-UPS WIKI
MULTI-USER GAMING COMMUNITY PORTALS
BLOGS RSS
MARKETPLACES & AUCTIONS SOCIAL BOOKMARKING
SOCIAL NETWORKS EMAIL
CONFERENCING INSTANT MESSAGING
Web 2.0 เน้นการสร้างสังคมมากกว่าเทคโนโลยี เพื่อให้คนเชื่อมโยงหากัน การใช้ข้อมูลร่วมกัน แบ่งปันข้อมูล การเสนอไอเดียใหม่แทนของเก่า และการค้นหาข้อมูลใหม่ โดยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลง การใช้งานจากการดาวน์โหลดข้อมูลเป็นการเชื่อมโยงกันทางออนไลน์เพื่อร่วมมือกันในการค้นหาไอเดีย แบ่งปัน และเสนอความคิดเห็น โดยพบว่าเครื่องมือที่คุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบันเช่น บล็อก (Blogs) Wikis และ podcasts เป็นเครื่องมือที่สร้างให้เกิด web 2.0 อย่างมากมาย รวมถึงการให้บริการของ social network services (friendster, myspace, linkedin), การเสนอ ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ (wayfarer, wikimapia) นัดหมายออนไลน์ (google calendar), การจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (43 Things) และ mobile networking (dodgeball) จากการขยายตัวของการให้บริการออนไลน์ทำให้มีการขับเคลื่อนให้แก่กลุ่มเล็กๆ ขยายออกไปในแนวยาวในเทอมของธุรกิจใหม่ ทำให้เห็นได้ว่า web 2.0 แตกต่างจากคู่แข่งที่ให้บริการโดยการเพิ่มความสามารถให้แก่ผู้ใช้งานคือ
- การแบ่งปันโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้แก่สังคมออนไลน์เพื่อนำไปใช้ (collaboration)
- การสะดวก และง่ายในการสร้างและร่วมกันใช้เนื้อหาออนไลน์ร่วมกัน (contribution)
- การค้นหาข้อมูลใหม่จากการบริการส่งต่อข้อมูลที่ผู้ใช้งานต้องการเฉพาะเจาะจง (syndication)
ตัวอย่าง RSS
รวมถึงพบว่าช่วงนี้การให้บริการแบบ “i” ที่เน้นข้อมูลเฉพาะที่ผู้ใช้งานต้องการ ออกแบบให้ตนเองใช้งานได้ง่ายเฉพาะตัวก็มีการขยายตัวให้บริการมากมาย เช่น i-Google, Yahoo
ตัวอย่าง iGoogle
เครื่องมือที่พัฒนาให้เป็น web 2.0 มีดังนี้
Web application tools – เครื่องมือสนับสนุนการทำงานบนเว็บ อาจอยู่ในรูปของ Blog หรือ Weblog อีกทั้งยังมี Widget สร้างจาก Flash หรือ Java script
สามารถติดอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์บน browser บล็อก เว็บไซท์ต่างๆ แม้กระทั่งบนมือถือ
Communication tools – เครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน ล่านี้จะช่วยเพิ่มช่องทางและรูปแบบในการติดต่อสื่อสารให้หลากหลายขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารและส่งข้อมูล ซึ่งมีเครื่องมือที่น่าสนใจ ดังนี้ Chat/Shoutbox, Instant Messenging, Skype, Podcast Audiographics
Community tools – เครื่องมือส่งเสริมการเป็นชุมชนออนไลน์ เครื่องมือและเว็บไซต์เหล่านี้ทำให้คนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันมีโอกาส มีสถานที่ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลร่วมกัน ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันผ่านทางเครื่องมือต่างๆ ได้แก่ Webboard , Wiki , Social Networking , Second Life
File sharing tools – เครื่องมือและเว็บไซต์ที่ช่วยในการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ของผู้ใช้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของข้อมูลข่าวสาร ขยายช่องทางในการส่งข้อมูล การแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันทำให้เกิดความประหยัดค่าใช้จ่าย เวลาและทรัพยากร ซึ่งในกลุ่มนี้มีดังนี้
Photo sharing - บริการแบ่งปันไฟล์รูปภาพ ภาพถ่ายต่างๆ
Video sharing - บริการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ รวมถึงสตรีมมิ่งวิดีโอ
Music sharing -บริการแบ่งปันไฟล์เพลง ไฟล์เสียง รวมถึงเครื่องเล่นเพลงออนไลน์
Document sharing - บริการแบ่งปันไฟล์เอกสารออนไลน์ รวมถึงสร้างและดัดแปลงเอกสาร
File Sharing -บริการพื้นที่สำหรับฝากไฟล์เก็บเอาไว้ส่งต่อและเผยแพร่
web 3.0 Connects Knowledge
ตัวอย่างเครื่องมือ
ARTIFICIAL INTELLIGENCE INTELLIGENT AGENTS
PERSORNAL ASSISTANTS ONTOLOGIES
SEMANTIC SEARCH SEMANTIC WEBSITE & UI
THESAURU & TAXONOMES KNOWLEGE BASES
SEMANTIC DESKTOP BOTS
Web 3.0 เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหา ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถใน การหาข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Web กล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งในตอนนี้เราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือ Tag นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้ Tag ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Web จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน โดยเมื่อได้ Tag มาแล้ว ข้อมูลแต่ละ Tag จะมีความสัมพันธ์กับอีก Tag หนึ่งโดยปริยาย เช่นข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Apple ก็จะมี Tag ที่เกี่ยวกับ Computer, iPod, iMac … และ Tag ที่มีเนื้อหา Computer ก็มี Tag ที่เชื่อมโยงกับ Tag ที่มีเนื้อหาด้าน Electronic โดยจะเชื่อมโยงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ข้อมูลมีการเชื่อมโยงกันเหมือนฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงข้อมูล ทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ ที่ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น
Web 3.0 ถูกออกแบบมาบนพื้นฐานความเชื่อ และการวิเคราะห์จากปริมาณของข้อมูลใน Web 2.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เว็บต่างๆ ต้องมีระบบบริหารจัดการเว็บให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ Metadata ซึ่งก็คือการนำข้อมูลมาบอกรายละเอียดของข้อมุลนั้นๆ นั่นเอง โดยระบบเว็บจะเป็นผู้จัดการในการค้นหาข้อมูลให้เราเองครับ จึงสามารถคาดการณ์ถึงข้อมูลได้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น
Web 3.0 ดูๆ ไปแล้วก็คงเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบ Web 2.0 มากกว่าสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ โดยจะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น และดีขึ้น ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถ เขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง
Web 3.0เป็นเว็บที่เข้าใจสิ่งที่คนถามได้มากขึ้น มีการตีความภาษาที่ฉลาดขึ้น เช่น search engine ที่สามารถคัดกรองผลที่ตรงกับเรื่องที่เราต้องการค้นหา และแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตมากขึ้น เราสามารถสัมผัสโลกทั้งโลกได้ถึงแม้ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์
Web 3.0 ถูกออกแบบมาบนพื้นฐานความเชื่อ และการวิเคราะห์จากปริมาณของข้อมูลใน Web 2.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เว็บต่างๆ ต้องมีระบบบริหารจัดการเว็บให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ Metadata ซึ่งก็คือการนำข้อมูลมาบอกรายละเอียดของข้อมุลนั้นๆ นั่นเอง โดยระบบเว็บจะเป็นผู้จัดการในการค้นหา ข้อมูลให้เราเองครับ จึงสามารถคาดการณ์ถึงข้อมูลได้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น Web 3.0 ก็คงเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบ Web 2.0 มากกว่าสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ โดยจะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น และดีขึ้น ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถ เขัาถึงเนื้องหาของเว็บ ได้ดีขึ้นนั้นเอง
12 เทคโนโลยี ใน Web 3.0 นั้น ได้แก่
1. Artificial intelligence (AI) ระบบปัญญาประดิษฐ์ เป็นความฉลาดเทียมที่สร้างให้กับสิ่งไม่มีชีวิต ในที่นี้คือระบบคอมพิวเตอร์ อันจะเอามาเป็นเครื่องมือ ที่ช่วยคาดเดาพฤติกรรม วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์ สามารถ วิเคราะข้อมูล relate ข้อมูลของผู้ใช้อย่างถูกต้อง มี ตรรกกะ
2. Automated reasoning เป็นการเขียนโปรแกรม ให้ระบบคอมพิวเตอร์ รู้จักการแก้ปัญหาเอง มีการประมวลผล ได้อย่างสมเหตุ พร้อมทั้ง แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า อักทั้งปรับปรุงระบบเอง โดยอัตโนมัติไปในตัว
3. Cognitive architecture เทคโนโลยี ข้อนี้ ยิ่งแปลกไปใหญ่ เพราะมันอยู่บนพื้นฐานของการคัดลอก การสร้างเทคโนโลยีขึ้นมา สักสองตัว ให้ทำงานได้เหมือนกันทุกประการ อันหนึ่งใช้บนโลกของความจริง อีกอันใช้บนโลกเสมือน หรืออาจจำลองจากความเป็นจริงก็ได้
4. Composite applications เป็นการผสมผสาน Application หรือโปรแกรม หรือบริการต่างๆ ของเว็บ ที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งานนั้นเอง
5. Distributed computing เป็นลักษณะคล้ายๆกับ Data Center ครับ คือการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องไป ประมวลผลร่วมกัน โดยใช้ความแตกต่างกันของโครงสร้าง องค์ประกอบฮาร์ดแวร์ หรือซอร์ฟแวร์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคอมพิวเตอร์นั้น ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นที่เดียวกัน อาจเป็นที่ไหนก็ได้ แค่มีอินเตอร์เน็ต เข้าถึงเป็นพอครับ
6. Knowledge representation การแทนความรู้ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญที่สุด ของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) คือก่อนจะสร้างความฉลาดให้ระบบ ได้นั้น ต้องให้ระบบ รู้จักการนำความรู้นั้น ไปใช้เสียก่อน
7. Ontology Data หรือ Ontology Language หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายลักษณะ Data ที่สัมพันธ์กัน เช่น web เราได้รับ Input data เริ่มต้น แล้ว web เราต้องสามารถ หา Data มาขยายความได้อย่างถูกต้อง โดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadata นั้นเอง
8. Recombinant text เคยดูหนังแอคชั่นไซไฟ ของต่างประเทศกันไหมล่ะครับ ที่ระบบคอมพิวเตอร์ มันพัฒนาจนมนุษย์ไม่สามารถหยุดมันได้ สุดท้ายมันก็กลับมาทำร้ายคนสร้างมันเอง เช่นในเรื่อง I-Robot กับ Terminator นั้น ก็คงดูๆเห็นๆกันมาบ้างแล้ว ดังนั้น แนวคิดที่ว่าจะให้มนุษย์สามารถ จัดการกับระบบ ในช่วงการทำงานช่วงใดก็ได้ จึงถูกหยิบยกมากล่าวอ้าง ว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีของ Web 3.0 ด้วย อือ… จินตนาการของมนุษย์ นี่ก็ใช่ย่อยนะ ผมล่ะตื่นเต้นจริงๆ
9. Scalable vector graphics (SVG) สืบเนื่องจากมาตรฐาน การสร้างภาพนั้น มีหลายรูปแบบ ทั้ง Gif, Jpeg, Png บางรูปแบบก็ต้องเสียตังค์ จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ทางผู้พัฒนาเสียด้วย ดังนั้นการนิยามวัตถุ อย่างภาพ ให้มีการพัฒนารูปแบบที่เป็นมาตรฐานใช้ร่วมกัน ในแบบ XML นั้น จึงเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี ที่น่าจะมีบทบาทสูงพอสมควร
10. Semantic Web พัฒนามาจาก Microformat( ถือว่าอยู่ใน Genaration web 2.0 )
- เทคโนโลยี จัดเป็น Aggregator แบบเต็มภาคภูมิก็ว่าได้ครับ คือเป็นเว็บไซต์หรือระบบที่มี การเชื่อมโยง สัมพันธ์กับแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การเชื่อมโยง ของแหล่งข้อมูลนั้น ทำให้ระบบฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจทำให้เกิดฐานข้อมูลโลก (Global Database) อาจเป็นเครือข่ายเดียวทั่วโลกก็ได้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์บทความมากขึ้น และทำให้ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าใครเป็นเจ้าของแหล่งข้อมูล
- เป็นการพยายามทำให้ภาษาทั้งหลายคุยกันได้เองหรือเข้าใจกันได้ โดยจะก่อให้เกิดประโยชน์คือ สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมสำหรับการเรียกใช้งาน ซึ่งมันจะไม่สรุปให้ว่าข้อมูลไหนดีที่สุด แต่จะเอาสิ่ง ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเทลงตรงหน้า และก็ จงไปเลือกเอาเอง อีกทั้งมันยังให้ความสำคัญกับเรื่องของ ชุมชนซึ่งเป็นแนวคิดหลักของ Web 2.0 มากขึ้นกว่าเดิม โดยมันจะเชื่อมโยงเราเข้ากับคนที่เราเคยติดต่อ เคยพูดคุย เคยแวะไปคอมเม้นท์ เพื่อให้เราสามารถดูสถานะอัพเดตของบุคคลต่างๆ
11. Semantic Wiki เมื่อข้อมูลมันมีมาก คนเขียนบล็อกก็มีมาก ทำให้เนื้อหามัน มากมายขึ้นทุกที จนบางที ก็ไม่รู้ว่าจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ด้วยคีย์เวิร์ดอะไร ดังนั้นถ้าใช้คำค้นหา แบบกว้างๆ แต่มันกำจัดวงแคบๆให้เราได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร การค้นหาแบบข้อมูลซ้อนข้อมูล หรือใช้การค้นหาหลาย ทิศทาง (Vertical Search) ผสมกับความเป็นส่วนตัวเข้าช่วย (Personalize) จะสามารถโฟกัสข้อมูล ลงได้เช่นกัน ทีนี้มาคิดกันต่อว่า Google, Yahoo! Search หรือ Windows Live Search
คำว่า Wiki เป็นการอธิบายคำๆ หนึ่ง คล้ายกับดิกชันนารี ดังนั้นถ้า Web 3.0 เป็น Wiki จะทำให้สามารถหา ความหมาย หรือข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้น
12. Software Agents โปรแกรมที่ทำงาน ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้โดยอัตโนมัติ เช่น ผมมีบล็อกอยู่ 1 บล็อก ทำการติด Google AdSense ไปที่จุดต่างๆ อย่างเหมาะสม และไม่ผิดกฎของ AdSense ด้วยครับ ตัวผมเองไม่รู้หรอกครับว่า จุดต่างๆที่ผมติดๆไปนั้น เหมาะกับบล็อก ผมมากน้อยเพียงใด ไปดูจากที่อื่นๆ เขาแนะนำมา ว่าให้ติดตามจุดนั้นๆ อีกที ทีนี้ล่ะครับ ผมก็จะศึกษาพฤติกรรม คนอ่านบล็อกผม แล้วลองเปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาจุดที่เกิดการคลิก ซึ่งก่อให้เกิดรายได้มากที่สุด และก็ต้องเสียเวลาศึกษาพวกนี้นานมากใช่ไหมล่ะครับ แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าการทำงานทั้งหมดนี้ Software Agents ทำให้หมด มันจัดวาง Ads ได้ถูกต้องตามกฎอีกด้วย
web 4.0 Connects Intelligence
ตัวอย่างเครื่องมือ
NATURAL LANGUAGE AUTONOMIC INTELLECTUAL PROPERTY
SEMANTIC AGENT ECOSYSTEMS BLOGJECTS
SPIME SMART MARKETS
SEMANTIC COMMUNITIES SEMANTIC BLOG
SEMANTIC WIKI SEMANTIC SOCIAL NETWORKS
SEMANTIC EMAIL CONTEXT-AWARE GAMES
คอมพิวเตอร์ในอนาคตมีความสามารถในการประมวลผลสูงขึ้น คงเคยดูว่าเครื่องกำลังทำงานอะไรอยู่ จะเห็นได้ว่าเครื่องที่เร็วก็จะมีเวลาที่ว่างจำนวนมากเมื่อเทียบกับเวลาทำงานตลอดเวลาที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังน้นการที่เราจะให้เครื่องทำงานมากขึ้นโดย เครื่องมือที่ช่วยให้พัฒนางานที่ซับซ้อนได้ [2] เช่น
ใช้ภาษาขั้นสูง (High-level programming languages)
ใช้การแปลภาษาเพื่อทำงานทันที (Interpreted programming languages)
มีการกำหนดมาตรฐานการแปลความหมาย (Declarative approach)
เนื่องจากต่อไปไม่ใช่แค่เพียงคอมพิวเตอร์ที่สามารถท่องเวปได้ ยังมีเครื่องมืออื่นอีกเช่น มือถือ, PDA, เครื่องพิมพ์, ไมโครเวฟ, ตู้เย็น (คอมพิวเตอร์ใส่ไว้ในนั้น) จะเห็นได้ว่าจะมีอยู่ในหลายรูปแบบ ขนาด หรือความละเอียดของการแสดงผล นอกเหนือจากอุปกรณ์ ยังรวมถึงการใช้งานด้วย เช่นในสถานที่ประชุม ในสถานที่จัดแสดง บนถ้วย บนป้ายโฆษณา ซึ่งจะเห็นได้ว่าอาจมี font ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวอักษร หรือแม้แต่สำหรับคนตาบอดซึ่งสามารถอ่าน web ได้ในรูปอักษรเบลล์
ลักษณะการแสดงผลในอนาคต ไม่ติดอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์
ดังนั้นในการออกแบบโดยการเขียนโปรแกรมจะใช้เวลามากเมื่อเทียบกับการใช้การกำหนดมาตรฐานการแปลความหมาย เช่น การใช้คำว่า clock เพื่อบอกการแสดงผลรวมถึงข้อมูลในการแสดงผล ซึ่งถ้าเปรียบเทียบ กับการเขียนด้วยโปรแกรมภาษา C อาจใช้จำนวนถึง 4000 บรรทัด
ตัวอย่างการใช้มาตรฐานการแปลความหมาย
ตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้มาตรฐานการแปลความหมาย
ประโยชน์ที่จะได้รับ
การใช้โปรแกรมประยุกต์ การใช้ทำงานจะง่ายเพียงใส่ไว้ที่หน้าเวป การแสดงผลจะทำงานโดยอัตโนมัติ
การใช้กับเครื่องแบบต่างๆ ข้อมูลสามารถปรับให้เหมาะสมกัอุปกรณ์ โดยการใช้ภาษากลางเช่น XML หรือ XHTML
การนำกลับมาใช้ใหม่ ถ้ามีผู้พัฒนา widget เช่น นาฬิกา ไว้แล้วก้อย่อมสะดวกในการนำมาใส่ไว้ใน หน้าเวป ไม่ต้องเขียนให้ยุ่งยาก
การลดการเขียนโปรแกรม การใช้มาตรฐานการแปลทำให้การเขียนโปรแกรมไม่ยุ่งยาก ทำให้ผู้ที่ดูและระบบสามารถตัดความกังวลสามารถพัฒนาโปรแกรมให้ซับซ้อนได้มากขึ้น
จากตัวอย่างโปรแกรมและรูปแบบต่างๆ จะเห็นได้ว่าการกำนดขอบเขตของ web 4.0 ยังสามารถขยายความ ได้อีกมากกว่านี้ดังนั้นรอการพัิฒนา และกำหนดมาตรฐานต่อไปในอนาคต
Web 2.0 กับการนำมาใช้ในการเรียนการสอน
จาก web 2.0 ทำให้เปลี่ยนเแปลงการใช้งานอินเตอร์เนทและทำให้เกิดไอเดียของการพัฒนาการเรียน การสอน โดยอาจนำไปใช้เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนจากเดิมที่ทำในห้องเรียน [3]
- เนท (อินเตอร์เนท,อินทราเนท) หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในรูปแบบต่างๆ ทำให้การเรียนสามารถทำไดทุกที่ทุกเวลา
- การรวบรวมความรู้และประสบการณ์ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดในการจัดการศึกษา ของหน่วยงานรัฐ
- tags และ RSS ทำให้ผู้อ่านได้ใช้ศัพท์เทคนิค ปรับองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และค้นหาและดึงข้อมูล
- การเลือกระหว่างอุปกรณ์ทำงานเพื่อการเรียน เช่น PDA, ipad, computer ทำให้ดูเป็นทางการ ไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ทุกเวลา ขณะเดินทาง เดิน แต่ web 2.0 ทำให้ความแตกต่างของเวลาในการเรียนรู้ และเวลาอื่นๆ หายไป
จากโปรแกรมและเวปเซอร์วิสบน web 2.0 แสดงให้เห็นว่ามันพร้อมใช้งานแล้ว แต่ผู้สอนยังไม่ทราบถึง การเปลี่ยนแปลงหรือผลกระทบต่อโครงการและวิธีการคิดของการเรียนการสอนแบบเดิมที่ใช้กันอยู่ใน
มหาวิทยาลัย หรือสถานที่เรียนปัจจุบัน การนำไปใช้ของโปรแกรม และเวปเซอร์วิสเริ่มีเอกสารผลิตขึ้นเพื่อ แนะนำการใช้งานและกระจายไปตาม wikis, blogs และ video sharing
แต่การเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงยังไม่มีการปรับให้สอดคล้องกับเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้เกิดการรวบรวม องค์ความรู้ การเชื่อมโยงในแนวขนาน การเปลี่ยนแปลงของความรู้และแนวคิด และการจัดการข้อมูลดด้วย เครื่องมือสมัยใหม่ เช่น tag และ social bookmarking ในการเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนการสอน แบบเดิมทำได้โดยการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
การเชื่อมโยงทางเครือข่าย - เรียนได้ทุกสถานที่
อีเลิร์นนิงสามารถนำไปได้ทุกที่ที่นักเรียนอยู่ แต่ในส่วนของ web อีเลิร์นนิงให้นักเรียนอยู่ใน สถานที่จำเพาะเช่นภายในมหาวิทยาลัย หรือห้องสมุด หรือแหล่งที่เรียกว่ามุมของการเรียนรู้ที่จัดขึ้นในห้าง
ในเวป 2.0 เครือข่ายเป็นเพียงรูปแบบ และคำว่า "ทุกที่" ก็หมายถึงว่าทุกที่ที่เครือข่ายไปถึง นักศึกษา ต้องตัดสินใจว่าจะทำการเรียน หรือทำงานในเวปหรือไม่ ในส่วนนี้หากได้มีการจัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลส่วนตัว ของ นักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาได้เป็นคนจัดวางและกำหนดแหล่งข้อมูลด้วยตนเอง ทำจะทำให้นักศึกษา สามารถ เข้าข้อมูลได้จากเวป
จากการเปลี่ยนแปลงโดยวิชาที่จัดการด้วยอีเลิร์นนิงไม่นำเสนอพื้นที่เป็น มหาวิทยาลัยเสมือน ห้องเรียนเสมือน แต่ให้พื้นที่ในการสื่อสารระหว่างนักเรียนกับนักเรียน และผู้สอน ทำให้นักเรียนและอาจารย์ มีแหล่งความรู้ที่ช่วยให้ปรับปรุงพื้นที่การเรียนรู้ส่วนบุคคล
การรวบรวมองค์ความรู้ - การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
การเรียนการสอนแบบเดิมอ้างอิงกับผู้เขียนตำรา แต่แนวคิดนี้ยังอ้างอิงกับอายุของตำราด้วยซึ่งการ ยอมรับของจะมีอายุเกิดในช่วงของการสื่อสาร แนวคิดนี้เน้นไปที่ผู้เขียนเจ้าของความรู้ที่ต้องมีการโต้แย้งกัน ให้ไปถึงข้อสรุปในช่วงระยะเวลาในไซเบอร์
ในมหาวิทยาลัย wikis กลายเป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกับผู้เขียนตำราที่ให้ความกระจ่างในนิยาม หรือความหมาย ข้อมูลในเวปที่ไม่มีการอ้างอิงผู้เขียนก็ยังคงไม่เป็นที่ยอมรับและนำไปอ้างอิง
ขณะที่การเรียนการสอนแบบเดิมการควบคุมของเอกสารขึ้นอยู่กับเจ้าของสิทธิ ใน web 2.0 จำนวนของผู้เผยแพร่จะชดเชยความผิดพลาดของแต่ละบุคคลที่เขียนโดยผ่านการควบคุม
ฐานข้อมูล - tags และ descriptiors
ในวิชาที่จัดการด้วยอีเลิร์นนิงอาจมีการเขียนประกอบด้วยคำพูดแบบทั่วไป ไม่การแยกระหว่างคำศัพท์ ทางเทคนิค และคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ในการให้ความสำคัญต่อการสร้างคำยังไม่มีความเหมาะสม ผู้ร่วมใช้คำ การกรั่นกรองทางสังคม การอ้างอิงคำ และ คำอธิบาย มีแนวคิดเหมือนกัน มีความจำเป็นต้อง สร้างความชัดเจนในการใช้คำเพื่อให้ถูกต้อง
สามารถใช้ได้กับหลายอุปกรณ์เช่น PDA, iPod, Computer ทุกที่ ทุกเวลา
ในการเลือกใช้อุปกรณ์ทั่วไปในการทำงานและเรียนรู้ อุปกรณ์ต้องง่ายต่อการใช้งาน และตอบสนอง ได้กับจุดประสงค์ โดยการเลือกอุปกรณ์เน้นเพื่อให้สามารถใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าขณะเดินทาง หรือเดินเท้า
วิชาที่ใช้อีเลิร์นนิง มีแนวคิดว่า สามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ในความเป็นจริงไม่เกิดขึ้น การเรียนการสอนทางไกลเน้นเรียนได้ทุกเวลา แต่ขณะนี้ต้องมีเวลาให้ในการเรียนโดยประกอบด้วยการเรียน และการทำกิจกรรมในชั้นเรียน ใน web 2.0 ความแตกต่างของเวลาเรียนและเวลาอื่นจะ้หายไป โดยคำถาม จากเดิมที่เป็นคำถามทางการ และคำถามที่ไม่เป็นทางการ ในบางกรณีเราอาจได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับ แนวคิดเพิ่มมากขึ้นในปีถัดไป
ถ้าความแตกต่างระหว่างเวลาเรียนและอื่นๆ หายไปเราสามารถที่จะเรียนรู้ได้จากทุกกิจกรรม เช่นเดียวกับเด็ก
การใช้ข้อมูลจากประสบการณ์ - เรียนรู้จากบุคคล
แนวคิดของการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงคือ การเรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เรียนรู้ จากบุคคล แน่นอนที่ว่าแนวคิดนี้มีเช่นเดียวกับ การให้บุคคลภายนอกอ่านตรวจสอบ การให้บุคคลมาสอน ไม่ใช่สิ่งใหม่เช่นเดียวกัลในการเรียนการสอนตามปรกติจะได้จากอาจารย์ผู้สอนกับนักเรียน เหมือน web 1.0 ที่ข้อมูลมากจากผู้รู้
ใน web 2.0 การเรียนจะแตกต่าง โดยความซับซ้อนจะเกิดจากเอกสารที่นำเสนอ ที่อยู่ในหน้าเวป หรือเอกสารในรูป PDF
การนำเอาแนวคิดจากอีเลิร์นิง 2.0 มาใช้
Downes (2005) แนะนำแนวทางบางประการที่มีในอีเลิร์นนิง 2.0 มาจัดการ
- ดูแลการติดต่อสื่อสารเนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นของโปรแกรมอีเลิร์นนิง
- เครื่องมือใหม่เช่น blogs หรือ podcasting ควรนำมาใช้
- แฟ้มเอกสารดิจิตอลของผู้เรียน หรือ blogs
- การเชื่อมโยงเนื้อหา
- การเรียนเป็นการสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง
- เน้นที่ผู้ใช้งานมากกว่าการออกแบบ
- เพิ่มการใช้ในการเรียนรู้แบบเคลื่อนที่และเกม
สรุปสิ่งที่ได้รับ
Albert Bandura (1977) [4] คำกล่าวของนักจิตวิทยาการเรียนรู้ของสังคมว่า “Learning would be exceedingly laborious, not to mention hazardous, if people had to rely solely on the effects of their own actions to inform them what to do. Fortunately, most human behavior is learned observationally through modeling: From observing others, one forms an idea of how new behaviors are performed, and on later occasions this coded information serves as a guide for action.” อีเลิร์นนิงทำให้การเรียนรู้ของสังคมในทางที่ Bandura ได้วาดไว้เป็นไปได้
การเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงทำให้เรามีศักยภาพอย่างมากมายในการสร้างสรรค์ ส่งต่อ จดบันทึกเพื่อการเรียนรู้ ดังนั้นในความพร้อมของเทคโนโลยีในลักษณะของ web 2.0 เราสามารถนำ เอามาใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้และสร้างแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ผ่านกันได้อย่างรวดเร็ว
เอกสารอ้างอิง
[1] http://www.project10x.com/
[2] http://www.w3.org/2006/Talks/06-08-steven-web40/
[3] Antonio Bartolomé. Web 2.0 and New Learning Paradigms. eLearning Paper, No. 8 April 2008
[4] Michele Martin and Sanjay Parker. Why e-Learning 2.0?. Learning Solutions e-Magazine. Sep. 2008.
รายนามสมาชิกกลุ่ม(ขอแสดงเฉพาะผู้ที่ทำblog)
โสภณ ไชยวงษ์ (P0104)
email: rfc2000tu@gmail.com
ตำแหน่ง: The Facilitator
คำคม: Once You Connect The Network, You Do Connect The World Of Learning
Blog: http://krukwai-openmind39g.blogspot.com/
รุ่งเรือง สารวิจิตร(p0117)
email: rung847@gmail.com
ตำแหน่ง: The contributor
คำคม: นวัตกรรมไทย ก้าวไกลสู่สังคมโลก
Blog: http://rung8.blogspot.com/
พิชิต ตรีวิทยรัตน์ (p0119)
email:wanna_kae@hotmail.com , pichit2496@gmail.com
ตำแหน่ง: Moderator
คำคม: เรียนอีเลิร์นนิ่งแบบ ขำ ๆ
Blog: http://pichittri.blogspot.com/
แสงดี เชาวน์ไวย(P0120)
email: schaowai3@gmail.com
ตำแหน่ง: The Coordinator
คำคม:
Blog: http://saengdee-epro3.blogspot.com/
ณรงค์ฤทธิ์ พวงไพโรจน์ (P0122)
email: narongrit2000@gmail.com
ตำแหน่ง: The Inspector
คำคม: ตึกยังรู้พัง พลังงานยังรู้หมด แต่น้ำใจคนไทยอันสวยสด ไม่มีหมดไม่มีพัง
Blog: http://narongritp.blogspot.com/
รุจิเรศ ธนูรักษ์ (P0123)
email: rujirest@gmail.com
ตำแหน่ง: The Good Member
คำคม:เราไม่อาจคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ หากไม่ยอมที่จะสับสน
Blog: http://thecourager.blogspot.com/
ประพันธ์ เพชร์สินธพชัย (P0126)
email: phetsinthopchai.praphan@gmail.com
ตำแหน่ง: The Supporter
คำคม: "ทำเล่น ๆ ให้เป็นงาน แต่ไม่ทำงานเป็นเล่น"
Blog: http://praphanp.blogspot.com/
ประภาภรณ์ เคารพ (P0134)
email: tuu.prapaporn@gmail.com
ตำแหน่ง Good Member
คำคม พยายามเข้าไว้ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล
Blog : http://itcu2010p0134.blogspot.com/
หงษ์สุดา ปราบบำรุง (P0136)
email : yuri2007.p@gmail.com
ตำแหน่ง : The Inspecter
คำคม : ไฟแห่งนวัตกรรม
Blog : http://missyuri2010tcu.blogspot.com/
สว่างทิตย์ ศรีกิจสุวรรณ (P0141)
email: sawangtit.srekitsuwan@gmail.com
ตำแหน่ง: The Note Taker
คำคม: "Along with success comes a reputation for wisdom." Euripides
Blog: http://sawangtit.blogspot.com/
ไปอ่านรายงานที่ไหนคร้า
ตอบลบรายงานอารายค่ะ อาจารย์ หากว่าเป็นเรื่อง การลาดตระเวณของหน่วย The Inspector คงต้องรอค่ะ อิอิ หากเป็นรายงานของ อ.สว่างทิตย์ก็ต้องรอท่านส่งผลงานก่อนค่ะ เห็นว่าท่านขยายเวลานะคะ ถึง 3 ตค.2553
ตอบลบ